“ปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ”
ปลูกอย่างไรให้ถูกกฎหมายและสร้างรายได้ยั่งยืน
ในยุคที่เกษตรกรหลายรายเริ่มมองหาวิธีสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาว การปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจถือเป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยศักยภาพของต้นไม้ที่ไม่เพียงแต่สร้างมูลค่า แต่ยังช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม สร้างความมั่นคงทางทรัพย์สิน และสามารถใช้เป็นหลักประกันทางการเงินได้อีกด้วย
ไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ คืออะไร?
ไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ หมายถึง ไม้ยืนต้นทุกชนิด รวมถึงไผ่ ที่สามารถใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้หรือผลผลิตที่ไม่ใช่เนื้อไม้ โดยปลูกในพื้นที่นอกเขตอนุรักษ์ เช่น พื้นที่เอกชนหรือพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์ตามกฎหมาย เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ เช่น ไม้แปรรูป ฟืน อุตสาหกรรมกระดาษ หรือสารสกัด เป็นต้น
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเปิดโอกาสให้ไม้มีค่าทางเศรษฐกิจสามารถนำมาใช้ค้ำประกันสินเชื่อผ่านธนาคารได้ ซึ่งช่วยให้เกษตรกรมีช่องทางทางการเงินที่มากขึ้น
พื้นที่ที่สามารถปลูกไม้มีค่าได้
ไม้เศรษฐกิจสามารถปลูกได้บน “ที่ดินเอกชน” ซึ่งหมายถึง:
- ที่ดินมีกรรมสิทธิ์: เช่น โฉนดที่ดิน โฉนดตราจอง
- ที่ดินมีสิทธิครอบครอง: เช่น น.ส.3, น.ส.3ก, ส.ค.1
การเลือกพื้นที่ที่ถูกต้องจะช่วยให้กระบวนการตัด เคลื่อนย้าย หรือขายไม้ในอนาคตดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แบ่งประเภทตามการเติบโต
- ไม้โตเร็ว (5-15 ปี): ไผ่, ยูคาลิปตัส, สะเดาไทย
- ไม้โตปานกลาง (15-20 ปี): สัก, แดง, ประดู่, ยางนา
- ไม้โตช้า (20 ปีขึ้นไป): พะยูง, มะค่าโมง, ชิงชัน, ตะเคียนทอง
เกษตรกรควรเลือกปลูกไม้ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ เช่น ไม้แปรรูป, ฟืน, อาหาร หรือสารสกัด เพื่อวางแผนการตลาดและการลงทุนให้สอดคล้องกัน
วิธีปลูกไม้มีค่าให้คุ้มทุน
มี 3 แนวทางให้เลือก:
- ปลูกแบบเชิงเดี่ยว (Monoculture): เหมาะกับพื้นที่กว้าง มีค่าใช้จ่ายน้อย แต่เสี่ยงต่อการเกิดโรคแมลงระบาด
- ปลูกแบบผสมผสาน (Mixed Species): ปลูกไม้หลายชนิดร่วมกัน ช่วยให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้หลายระยะ แต่ต้องบริหารจัดการดี
- ปลูกแบบวนเกษตร (Agroforestry): ปลูกไม้ควบคู่กับพืชเกษตร เช่น พืชสมุนไพร พืชกินได้ สร้างรายได้ระยะสั้น-กลาง-ยาวในเวลาเดียวกัน
การรับรองไม้ เพื่อการขายที่ถูกกฎหมาย
การเคลื่อนย้ายหรือตัดไม้จำเป็นต้องมี “การรับรองความถูกต้อง” เพื่อป้องกันปัญหาทางกฎหมาย แบ่งเป็น 2 วิธี:
- ให้เจ้าหน้าที่รับรอง: ยื่นเอกสารที่สำนักงานป่าไม้ในพื้นที่ หรือผ่านระบบสวนป่าออนไลน์
- รับรองด้วยตนเอง: ทำหนังสือรับรองพร้อมลายเซ็นจากผู้ใหญ่บ้านหรือกำนัน
หากไม้ที่ปลูกอยู่ใน “สวนป่าที่จดทะเบียน” จะต้องขอหนังสือรับรองเพิ่มเติม (สป.12, สป.13, สป.15) ก่อนนำไปจำหน่ายหรือขนย้าย
ไม้มีค่า ขายได้ยังไง?
เกษตรกรสามารถนำไม้มีค่าที่ปลูกขึ้นมาไปขายให้กับโรงเลื่อย โรงแปรรูปไม้ บริษัทรับซื้อไม้ หรือแม้แต่ขายไม้ท่อนส่งออกไปต่างประเทศ โดยต้องมีเอกสารรับรองที่ถูกต้องทุกขั้นตอน เช่น ใบรับรองที่มา หนังสือรับรองตัดไม้ และใบแสดงความเป็นเจ้าของ
หากมีตลาดรับซื้อไม้ในพื้นที่อยู่แล้ว ยิ่งสะดวกต่อการจำหน่าย แต่หากไม่มี การรวมกลุ่มเกษตรกร หรือเข้าร่วมเครือข่ายขายไม้ออนไลน์ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสขาย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ
ปลูกไม้มีค่าในที่ดิน ส.ป.ก. ได้หรือไม่?
ตอบ: ไม่แนะนำ เนื่องจาก ส.ป.ก. ไม่ใช่ที่ดินกรรมสิทธิ์ที่สามารถใช้ค้ำประกันหรือยื่นขอรับรองไม้ได้ ควรปลูกในที่ดินมีเอกสารสิทธิ์ เช่น โฉนด หรือ น.ส.3
ปลูกไม้เศรษฐกิจชนิดไหนดีที่สุด?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ เช่น ถ้าต้องการขายเป็นไม้แปรรูปควรปลูก สัก, พะยูง, มะค่าโมง แต่ถ้าต้องการเก็บเกี่ยวเร็ว เช่น เพื่อฟืน หรือกระดาษ ยูคาลิปตัสจะเหมาะกว่า
ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะตัดขายได้?
ตอบ: แล้วแต่ชนิดไม้ เช่น ยูคาลิปตัส 5-7 ปี, สักประมาณ 15 ปี, พะยูงและมะค่าโมง 20 ปีขึ้นไป
ไม้ที่ปลูกขึ้นเองในที่ดินเอกชนต้องขออนุญาตตัดไหม?
ตอบ: ถ้าไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสวนป่า และอยู่ในที่ดินมีเอกสารสิทธิ์ สามารถตัดได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ควรมีหลักฐานความเป็นเจ้าของ
ไม้ที่ปลูกไว้สามารถใช้ค้ำประกันเงินกู้ได้จริงหรือ?
ตอบ: ใช่ โดยเฉพาะไม้ 58 ชนิดที่อยู่ในบัญชีของกรมป่าไม้ หากปลูกถูกต้องและมีการรับรอง จะสามารถนำไปใช้เป็นทรัพย์สินค้ำประกันกับธนาคารได้
การปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจจึงไม่ใช่เพียงแค่การปลูกต้นไม้ แต่เป็นการวางแผนลงทุนระยะยาวที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับเกษตรกรได้อย่างมั่นคง หากดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ควบคู่กับการจัดการอย่างเป็นระบบ ก็สามารถเปลี่ยนที่ดินเปล่าให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงได้ในอนาคต
หากคุณสนใจปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ แนะนำให้เริ่มจากศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมป่าไม้ หรือสอบถามเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ เพื่อวางแผนการปลูกอย่างเหมาะสม